ขั้นตอนการทดสอบความพอดีของอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจแบบเชิงคุณภาพ (Qualitative Respirator Fit Testing Procedures)
บทความเผยแพร่โดยมูลนิธิสัมมาอาชีวะ
เรียบเรียงโดย นพ.วิวัฒน์ เอกบูรณะวัฒน์
วันที่เผยแพร่ 2 มกราคม 2561
ในประเทศไทยนั้น กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ. 2556 [1] ได้กำหนดให้นายจ้างจัดอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล (Personal protective equipment; PPE) ให้ลูกจ้างสวมใส่เพื่อป้องกันอันตรายในการทำงานกับสารเคมีอันตรายอย่างเหมาะสม ซึ่งในการทำงานกับสารเคมีอันตราย อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจ (Respirator) เป็นอุปกรณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่ลูกจ้างจะขาดเสียมิได้ และในการสวมใส่อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจให้ได้ประสิทธิภาพนั้น จำเป็นจะต้องมีการทดสอบความพอดี (Fit test) อยู่เป็นระยะ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคนทำงาน (ลูกจ้าง) ยังคงสวมใส่อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจไว้ที่ใบหน้าได้อย่างกระชับ อันจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการป้องกันได้อย่างสูง
บทความนี้จะกล่าวถึงขั้นตอน (Procedure) หรือแบบแผน (Protocol) ในการทดสอบความพอดีของอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่อ้างอิงมาจากข้อกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา รหัส 29 CFR 1910.134 [2] ที่กำหนดไว้โดยองค์กร Occupational Safety and Health Administration (OSHA) โดยตามข้อกฎหมายที่กำหนดนี้ นายจ้างในประเทศสหรัฐอเมริกาจะต้องจัดให้มีการทดสอบความพอดี (Fit test) ให้แก่ลูกจ้างที่ได้รับมอบหมายให้สวมใส่อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจ ก่อนที่ลูกจ้างที่ได้รับมอบหมายจะสวมใส่ในครั้งแรก และทำอีกเป็นระยะอย่างน้อยปีละครั้ง (Annually) สำหรับในประเทศไทยแม้ไม่มีข้อกฎหมายด้านอาชีวอนามัยบังคับให้นายจ้างต้องจัดทำการทดสอบความพอดีนี้ แต่นายจ้างสามารถพิจารณาดำเนินการแบบสมัครใจ ในการจัดให้มีการทดสอบความพอดีให้กับลูกจ้างที่ได้รับมอบหมายให้สวมใส่อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจที่อยู่ในความดูแลของตนเองได้ เพื่อประโยชน์ในด้านความปลอดภัยของลูกจ้างอย่างสูงสุด
สาเหตุที่ต้องมีการทดสอบความพอดีของอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจอยู่เป็นระยะนั้น เนื่องจากมีโอกาสที่ใบหน้าของคนทำงานจะเปลี่ยนรูปทรงไป ทำให้การสวมใส่ส่วนที่สวมใส่บนใบหน้า (Facepiece) ของอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจหลวมหรือแน่นขึ้น ตัวอย่างสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงรูปทรงใบหน้า เช่น น้ำหนักลดหรือเพิ่มขึ้นมาก การทำฟันและดัดฟัน อุบัติเหตุที่ใบหน้าซึ่งทำให้ใบหน้าเปลี่ยนรูป แผลเป็น หนวดเคราที่ยาวขึ้น การศัลยกรรมตกแต่งที่ใบหน้า เหล่านี้เป็นต้น งานวิจัยของนักวิจัยจากองค์กร National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH) [3] รายงานว่า มีคนทำงานถึงประมาณ 10 % ที่ไม่ผ่านการทดสอบความพอดี แม้ว่าจะใช้อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจรุ่นเดิมและขนาดเดิมกับปีก่อนในการทดสอบ นอกจากนี้ผลการวิจัยชิ้นนี้ยังพบว่า คนที่น้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 20 ปอนด์ (ประมาณ 9.1 กิโลกรัม) นั้นควรทำการทดสอบความพอดีใหม่ทันที เนื่องจากมีโอกาสที่อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจจะไม่พอดีสูง [3] หากส่วนที่สวมใส่บนใบหน้าของอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจนั้นไม่พอดี คือมีช่องว่างด้านข้างให้อากาศลอดเข้าได้ ประสิทธิภาพในการปกป้องทางเดินหายใจของอุปกรณ์นั้นก็จะลดลงหรือล้มเหลว [4]
สำหรับชนิดของการทดสอบความพอดีของอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจ จะแบ่งได้ออกเป็น 2 แบบหลักๆ คือแบบเชิงคุณภาพ (Qualitative fit test; QLFT) กับแบบเชิงปริมาณ (Quantitative fit test; QNFT)
การทดสอบความพอดีแบบเชิงคุณภาพ (Qualitative fit test; QLFT) นั้นเป็นการทดสอบที่ให้คนทำงานใส่อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจ แล้วสูดดมสารเคมีที่เป็นสารทดสอบ แล้วพิจารณาด้วยความเห็นของตนเอง (Subjective) ว่ารู้สึกได้ถึงสารทดสอบที่ใช้ทดสอบหรือไม่ ผลการทดสอบจะเป็นแบบ “ผ่าน (Pass)” คือไม่รู้สึกได้ถึงสารทดสอบ กับ “ไม่ผ่าน (Fail)” คือรู้สึกได้ถึงสารทดสอบ การทดสอบแบบเชิงคุณภาพนี้ทำได้ค่อนข้างง่ายกว่าแบบเชิงปริมาณ สามารถทำโดยบุคลากรทางด้านอาชีวอนามัยโดยทั่วไปที่ทราบขั้นตอนการปฏิบัติเป็นอย่างดีได้ (เช่น เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับวิชาชีพ พยาบาลอาชีวอนามัย แพทย์อาชีวเวชศาสตร์) ในการทดสอบนั้นมีแบบแผนการทดสอบหลายวิธีขึ้นกับสารที่ใช้ทดสอบ [5] ได้แก่ ใช้สารมีกลิ่น คือ Isoamyl acetate (IAA) เพื่อให้คนทำงานได้กลิ่นคล้ายกล้วย, ใช้สารให้ความหวาน คือ Saccharin หรือสารให้ความขม คือ Bitrex ® ซึ่งคนทำงานจะรู้สึกว่าหวานหรือขมถ้าไม่ผ่านการทดสอบ (หมายเหตุ สารทดสอบเป็นสารให้รส แต่ใช้ในการทดสอบอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจได้ เนื่องจากในขั้นตอนการทดสอบด้วยสารเหล่านี้จะให้คนทำงานหายใจเข้าออกทางปาก), ใช้สารระคายเคือง คือ Stannic chloride smoke เพื่อให้คนทำงานรู้สึกระคายเคือง การทดสอบแบบเชิงคุณภาพนี้ เหมาะสำหรับใช้ทดสอบอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจกลุ่มที่ส่วนที่สวมใส่บนใบหน้า (Facepiece) มีลักษณะเป็นหน้ากากแบบครึ่งหน้า (Half mask หรือ Half facepiece type) เท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับการใช้ทดสอบในกลุ่มที่มีลักษณะเป็นหน้ากากแบบเต็มหน้า (Full face mask หรือ Full facepiece type) [6]
ภาพที่ 1 อุปกรณ์สำหรับทำการทดสอบความพอดีแบบเชิงคุณภาพ (Qualitative fit test) ด้วยสารให้ความหวาน (Saccharin) หรือสารให้ความขม (Bitrex ®)
สำหรับการทดสอบความพอดีแบบเชิงปริมาณ (Quantitative fit test; QNFT) นั้นเป็นการทดสอบที่จะได้ผลการทดสอบออกมาเป็นค่าตัวเลข เรียกว่า “ค่าความพอดี (Fit factor)” ซึ่งค่า Fit factor นี้คือค่าอัตราส่วนของความเข้มข้นของสารทดสอบในอากาศภายนอก ต่อความเข้มข้นของสารทดสอบในอากาศภายในอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจ เช่น หากอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจชนิดหนึ่งมีค่า Fit factor = 100 จะหมายถึง อากาศภายในอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจชนิดนั้นสะอาดกว่าอากาศภายนอก 100 เท่าขณะที่ทำการสวมใส่ โดยองค์กร OSHA กำหนดไว้ว่า อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจที่มีลักษณะเป็นหน้ากากแบบครึ่งหน้า (Half mask หรือ Half facepiece type) จะต้องมีค่า Fit factor ตั้งแต่ 100 ขึ้นไป ส่วนกลุ่มที่มีลักษณะเป็นหน้ากากแบบเต็มหน้า (Full face mask หรือ Full facepiece type) จะต้องมีค่า Fit factor ตั้งแต่ 500 ขึ้นไป จึงจะถือว่า “ผ่าน” ในการทดสอบ [2] การทดสอบแบบเชิงปริมาณนี้ทำได้ยากกว่าการทดสอบแบบเชิงคุณภาพ เนื่องจากต้องใช้เครื่องมือเฉพาะที่มีความซับซ้อนกว่า มักต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือทดสอบ ซึ่งในการทดสอบเชิงปริมาณนั้นก็มีแบบแผน (Protocol) การทดสอบหลายวิธีเช่นกัน [5] ได้แก่ ใช้สารทดสอบที่ไม่เป็นอันตรายอย่าง Corn oil, Polyethylene glycol 400 (PEG 400), Di-2-ethyl hexyl sebacate (DEHS), หรือ Sodium chloride ทำให้เกิดเป็นละอองภายในห้องทดสอบ (Test chamber) แล้ววัดความเข้มข้นของละอองสารทดสอบในอากาศภายนอก เทียบกับในอากาศภายในอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจที่คนทำงานสวมใส่, ใช้การวัดความเข้มข้นของละอองในอากาศทั่วไป (Ambient aerosol) ที่อยู่ภายนอกเทียบกับภายในอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจ เช่น การวัดด้วยเครื่องมือที่ชื่อว่า Portacount ®, ใช้การควบคุมความดันภายในอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจให้เป็นลบ (Controlled negative pressure) แล้วให้คนทำงานกลั้นหายใจ จากนั้นวัดอัตราการรั่วของอากาศ (Leak rate) ที่รั่วไหลเข้ามาภายในอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจ แล้วนำ Leak rate มาคำนวณเทียบเป็นค่า Fit factor อีกที เช่น การวัดด้วยเครื่องมือที่ชื่อว่า Quantifit ® ซึ่งมีแบบแผนการทำ 2 แบบ ทั้งการทำท่าทางต่างๆ อย่างเดียว และแบบที่ให้ทำท่าทางต่างๆ ร่วมกับการให้ถอดหน้ากากแล้วใส่หน้ากากใหม่ (REDON protocol) [5] การทดสอบเชิงปริมาณนี้ สามารถใช้ทดสอบความพอดีกับอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจได้ทั้งกลุ่มที่ส่วนที่สวมใส่บนใบหน้า (Facepiece) มีลักษณะเป็นหน้ากากแบบครึ่งหน้า (Half mask หรือ Half facepiece type) และกลุ่มที่มีลักษณะเป็นหน้ากากแบบเต็มหน้า (Full face mask หรือ Full facepiece type) [6] ขั้นตอนการทำการทดสอบแบบเชิงปริมาณในรายละเอียดแต่ละแบบแผนจะไม่ขอกล่าวถึงในบทความนี้ เนื่องจากการทดสอบแบบเชิงปริมาณนั้นจะต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ มีความซับซ้อน และมักต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือทดสอบ
ภาพที่ 2 เครื่อง Portacount ® สำหรับทำการทดสอบความพอดีแบบเชิงปริมาณ (Quantitative fit test)
สำหรับขั้นตอนการทำการทดสอบความพอดีแบบเชิงคุณภาพ (Qualitative fit test; QLFT) ซึ่งกำหนดไว้ในกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกาโดยองค์กร OSHA นั้นมาจากข้อกฎหมาย รหัส 29 CFR 1910.134 ในส่วน Appendix A [5] ซึ่งเป็นส่วนที่บังคับให้ต้องปฏิบัติตาม ในบทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะแบบแผนที่ทำการทดสอบด้วยสารให้ความหวาน คือ Saccharin และสารให้ความขม คือ Bitrex ® เท่านั้น เนื่องจากการทดสอบด้วยสารทดสอบ 2 ชนิดนี้ค่อนข้างมีความปลอดภัยสูงและทำได้ง่าย รายละเอียดขั้นตอนการทดสอบความพอดีของอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจแบบเชิงคุณภาพนั้นเป็นดังนี้ [5]
การจัดเตรียมขั้นพื้นฐาน (General requirements)
การจัดเตรียมขั้นพื้นฐานเหล่านี้ จะต้องทำทั้งในกรณีทำการทดสอบแบบเชิงคุณภาพ (Qualitative fit test) และแบบเชิงปริมาณ (Quantitative fit test)
- คนทำงานจะต้องมีโอกาสได้เลือกอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจที่ตนเองจะต้องใช้ โดยต้องจัดให้มีรุ่นและขนาดของอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจไว้ให้คนทำงานเลือกอย่างมากเพียงพอ
- ก่อนที่คนทำงานจะเลือก คนทำงานจะต้องได้ดูการสาธิตการสวมใส่อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจ, การจัดตำแหน่งส่วนที่สวมใส่บนใบหน้า, การดึงสายรัด, และการจัดให้มีความพอดี ต้องจัดให้มีกระจกเงาไว้ด้วย เพื่อช่วยคนทำงานในการจัดตำแหน่งของส่วนที่สวมใส่บนใบหน้าให้พอดี การดำเนินการนี้ไม่ถือว่าเป็นการอบรมเรื่องอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจอย่างเป็นทางการ เนื่องจากต้องการให้เป็นเพียงการทบทวนให้คนทำงานเข้าใจเท่านั้น
- ต้องให้ข้อมูลกับคนทำงานว่า เขาสามารถเลือกอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจที่พอดีกับเขาที่สุด อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจแต่ละแบบมีขนาด (Size) และรูปร่าง (Shape) ที่แตกต่างกันไป ถ้าสวมใส่ได้พอดีและใช้อย่างถูกวิธี จะสามารถป้องกันอันตรายต่อทางเดินหายใจของคนทำงานได้
- เมื่อทดลองสวมใส่แล้ว อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจอันใดที่ใส่แล้วพอดีให้สวมใส่ไว้ ส่วนอันใดที่ใส่แล้วรู้สึกว่าไม่พอดีให้ถอดออก
- หากทดลองสวมใส่ต่อไปแล้วพบว่ามีอันที่พอดียิ่งกว่า ให้ตั้งข้อสังเกตไว้ ถอดอันเก่าออก แล้วสวมใส่อันที่รู้สึกว่าพอดียิ่งกว่า เมื่อได้อันที่พอดีที่สุดแล้วให้ทดลองสวมใส่ไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 5 นาที เพื่อประเมินความสบายในการสวมใส่ ผู้ทำการทดสอบอาจช่วยในการประเมินความสบายในการสวมใส่โดยสอบถามถึงประเด็นต่างๆ ในข้อ 6. ถ้าคนทำงานยังไม่เคยใช้หรือไม่ชินกับการใส่อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจชนิดที่กำลังทำการทดสอบ อาจให้คนทำงานทดลองใส่แล้วถอด 2 – 3 ครั้ง ทดลองปรับสายรัดให้มีความตึงพอดีในทุกครั้งที่ใส่
- การประเมินความสบายในการสวมใส่จะต้องสอบถามคนทำงานถึงประเด็นต่อไปนี้ โดยให้เวลาที่เพียงพอในการที่คนทำงานจะตัดสินความสบายในการสวมใส่
- ตำแหน่งที่สัมผัสกับจมูก
- ช่องว่างในส่วนที่ใช้ปกป้องดวงตา (หมายเหตุ จะมีเฉพาะกรณีอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นหน้ากากแบบเต็มหน้า ส่วนในกรณีที่ทำการทดสอบแบบเชิงคุณภาพ จะทำการทดสอบกับอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นหน้ากากแบบครึ่งหน้าเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องถามข้อนี้)
- ช่องว่างสำหรับใช้ในการพูด
- ตำแหน่งตรงบริเวณใบหน้าและแก้ม
- ให้ใช้เกณฑ์ต่อไปนี้ในการพิจารณาว่าการสวมใส่มีความพอดีเพียงพอหรือไม่
- ตำแหน่งของคางพอดี
- ความตึงของสายรัดพอดี ไม่แน่นจนเกินไป
- ส่วนที่สัมผัสกับสันจมูกมีความพอดี
- ระยะตั้งแต่จมูกถึงคางมีความยาวที่เพียงพอ
- โอกาสในการลื่นหลุด
- ให้คนทำงานส่องกระจกเพื่อดูตำแหน่งและความพอดีของอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจ
- ให้คนทำงานทดสอบความแนบด้วยตนเอง (User seal check) โดยให้ทำตามวิธีที่กำหนดไว้ในข้อกฎหมาย รหัส 29 CFR 1910.134 ในส่วน Appendix B-1 [7] หรือวิธีที่บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจแนะนำไว้ซึ่งมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากัน ก่อนที่จะทำการทดสอบความแนบด้วยตนเอง ให้คนทำงานขยับอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจบนใบหน้าให้เข้าที่ โดยการหันหน้าช้าๆ ไปทางซ้าย-ขวา และเงยหน้าขึ้น-ลง ในขณะที่หายใจเข้าออกแบบช้าๆ ลึกๆ 2 – 3 รอบไปด้วย (หมายเหตุ ขั้นตอนในการทดสอบความแนบด้วยตนเอง ทำโดยการเอามือแนบส่วนที่สวมใส่บนใบหน้า (Facepiece) แล้วพ่นลมหายใจออก (Positive pressure check) หรือสูดลมหายใจเข้า (Negative pressure check) แล้วดูว่ามีการรั่วไหลของอากาศเข้ามาทางขอบของอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจหรือไม่ การทำให้ทำทั้ง 2 วิธี โดยวิธีพ่นลมหายใจออก (Positive pressure check) ถ้าหน้ากากแบบครึ่งหน้านั้นมีวาล์วสำหรับหายใจออก (Exhalation valve) ให้เอามือปิดวาล์วไว้ด้วย ในบางรุ่นอาจต้องถอดฝาครอบวาล์ว (Exhalation valve cover) ออกก่อนที่จะใช้มือปิด (ตรวจสอบจากคำแนะนำการใช้งานของบริษัทผู้ผลิต) หากไม่มีวาล์วให้ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างแนบกับหน้ากากไว้ เมื่อพ่นลมหายใจออกช้าๆ แล้ว หากรู้สึกได้ถึงแรงดันอากาศภายในที่เพิ่มขึ้น และไม่รู้สึกว่ามีอากาศรั่วไหลออกทางขอบของหน้ากากก็ถือว่าใช้ได้ ส่วนวิธีสูดลมหายใจเข้า (Negative pressure check) ถ้าหน้ากากแบบครึ่งหน้านั้นเป็นรุ่นที่มีตลับ (Cartridge) หรือกระป๋อง (Canister) กรองสารเคมี ให้ปิดส่วนอากาศเข้า (Inlet) ด้วยมือหรือใส่ฝาครอบตัวกรอง (Filter seal) หรือบางรุ่นอาจต้องใช้ถุงมือยาง (Latex) หรือถุงมือไนไตรล์ (Nitrile glove) มาปิด จึงจะปิดการผ่านของอากาศได้สนิท (ตรวจสอบจากคำแนะนำการใช้งานของบริษัทผู้ผลิต) หากเป็นรุ่นที่ไม่มีตลับหรือกระป๋องกรองสารเคมีให้ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างแนบกับหน้ากากไว้ เมื่ออุดทางผ่านของอากาศเข้าแล้วให้สูดลมหายใจเข้าช้าๆ แล้วค้างไว้ 10 วินาที ถ้ารู้สึกได้ว่าภายในมีการยุบลงเล็กน้อย และไม่รู้สึกว่ามีอากาศรั่วไหลเข้ามาทางขอบของหน้ากากก็ถือว่าใช้ได้ นอกจากวิธีการทดสอบความแนบด้วยตนเองแบบทั่วไปที่กล่าวถึงทั้ง 2 วิธีนี้แล้ว เนื่องจากความหลากหลายของชนิดของอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจ วาล์ว รวมถึงตลับและกระป๋องกรองสารเคมี บางครั้งอาจต้องทำการทดสอบความแนบด้วยตนเองด้วยวิธีการที่บริษัทผู้ผลิตแนะนำไว้ ซึ่งแตกต่างไปจากวิธีทั่วไปดังที่กล่าวมาก็ได้ [7])
- จะไม่ทดสอบความพอดี ถ้ามีขนที่ใบหน้าของคนทำงาน (เช่น หนวด เครา จอน) ขึ้นอยู่ตรงบริเวณขอบของอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจส่วนที่แนบติดกับใบหน้า (หมายเหตุ กรณีอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจที่เป็นหน้ากากแบบครึ่งหน้า แก้ไขเบื้องต้นได้ด้วยการจัดขยับตำแหน่งของอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจ แต่ถ้าหนวดเครายาวและดกมากจนไม่สามารถแก้ไขด้วยการจัดขยับตำแหน่งได้ ต้องให้คนทำงานเลือกใช้อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจชนิดอื่น เช่น แบบเต็มหน้า หรือแบบคลุมทั้งศีรษะ) สำหรับเครื่องนุ่งห่มหรือเครื่องประดับของคนทำงานที่อาจรบกวนความพอดีในการสวมใส่อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจ จะต้องถูกจัดขยับไม่ให้รบกวนหรือถอดออกก่อน
- ถ้าคนทำงานมีอาการหายใจลำบากในขณะที่ทำการทดสอบความพอดี จะต้องส่งต่อคนทำงานนั้นไปพบแพทย์ เพื่อประเมินว่าคนทำงานผู้นั้นสามารถสวมใส่อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้หรือไม่
- ถ้าทำการทบสอบความพอดีแล้วพบว่าอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจอันที่เลือกมาทดสอบนั้นไม่พอดี ผู้ทดสอบต้องเปิดโอกาสให้คนทำงานเลือกอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจอันใหม่ แล้วนำมาทำการทดสอบความพอดีใหม่ได้
- ก่อนที่จะเริ่มทำการทดสอบความพอดี คนงานจะต้องได้รับการอธิบายรายละเอียดของขั้นตอนการทดสอบ และหน้าที่ของตนเองในระหว่างการทดสอบ คำอธิบายนี้จะต้องรวมถึงรายละเอียดของท่าทางต่างๆ ที่กำหนดให้คนทำงานทำในระหว่างการทดสอบด้วย คนทำงานจะต้องใส่อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจอันที่ใช้ทดสอบนานอย่างน้อย 5 นาทีก่อนที่จะเริ่มต้นการทดสอบ
- หากในเวลาที่ทำงานจริง คนทำงานจะต้องใส่อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย (Safety equipment) ชนิดอื่นๆ ร่วมไปกับอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจด้วย และอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยเหล่านั้นอาจมีผลขัดขวางต่อการใส่อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจให้พอดี ก็ต้องจัดให้คนทำงานใส่อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยเหล่านั้นร่วมไปด้วยในระหว่างที่ทำการทดสอบความพอดีของอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจ
- ท่าทางต่างๆ ที่กำหนดให้ทำ (Test exercises)
(หมายเหตุ สำหรับการทดสอบแบบเชิงคุณภาพทุกแบบแผน จะใช้ท่าทางตามรายการที่กำหนดนี้ในการทดสอบ แต่การทดสอบแบบเชิงปริมาณบางแบบแผน อาจมีท่าทางที่กำหนดให้คนทำงานทำต่างออกไปเป็นการเฉพาะได้ ซึ่งจะแตกต่างไปจากท่าทางในรายการนี้)
- ให้จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม แล้วให้คนทำงานทำท่าทางต่างๆ ที่กำหนดไว้นี้
- หายใจปกติ (Normal breathing) ในท่ายืนตรงปกติ โดยไม่พูด คนทำงานจะต้องมีการหายใจที่ปกติ ทำไปเรื่อยๆ
- หายใจลึกๆ (Deep breathing) ในท่ายืนตรงปกติ หายใจช้าๆ (Slowly) และลึกๆ (Deeply) ระวังอย่าหายใจเร็ว ทำไปเรื่อยๆ
- หันหน้าไปทางซ้าย-ขวา (Turning head side-to-side) ยืนอยู่กับที่ หันหน้าไปทางซ้ายหรือขวาไปจนสุด โดยหันช้าๆ สุดแล้วค้างไว้พักหนึ่งและหายใจเข้า จากนั้นจึงหันไปอีกด้านหนึ่งพร้อมหายใจออก หันไปจนสุด ค้างไว้พักหนึ่งและหายใจเข้า ทำสลับกันไปเรื่อยๆ
- เงยหน้าขึ้น-ลง (Moving head up and down) ยืนอยู่กับที่ เงยศีรษะขึ้นจนสุดช้าๆ จากนั้นก้มศีรษะลงจนสุดช้าๆ ให้หายใจเข้าเมื่อเงยศีรษะขึ้นจนสุด (ตอนที่มองเพดาน) และหายใจออกเมื่อกำลังก้ม ทำไปเรื่อยๆ
- พูด (Talking) ให้คนทำงานพูดออกเสียงช้าๆ และดังเพียงพอที่ผู้ทำการทดสอบจะได้ยินอย่างชัดเจน โดยอาจให้อ่านข้อความเรื่อง “Rainbow Passage” ที่ผู้ทำการทดสอบเตรียมไว้, หรือให้นับเลขย้อนจาก 100 ถึง 1, หรือให้ท่องกลอนหรือร้องเพลงที่รู้จักก็ได้ ข้อความเรื่อง Rainbow Passage มีเนื้อหาดังนี้
- Rainbow Passage
- “When the sunlight strikes raindrops in the air, they act like a prism and form a rainbow. The rainbow is a division of white light into many beautiful colors. These take the shape of a long round arch, with its path high above, and its two ends apparently beyond the horizon. There is, according to legend, a boiling pot of gold at one end. People look, but no one ever finds it. When a man looks for something beyond reach, his friends say he is looking for the pot of gold at the end of the rainbow.” [5]
- (หมายเหตุ ในขั้นตอนนี้สำหรับคนทำงานชาวไทย อาจให้ร้องเพลงที่เป็นที่รู้จักดีและมีความยาวพอประมาณ เช่น “เพลงรำวงลอยกระทง” แทนก็ได้)
- ก้มเอว (Bending over) ให้คนทำงานค่อยๆ ก้มเอวลงจนนิ้วมือแตะปลายเท้า หรือมากที่สุดเท่าที่จะก้มได้ จากนั้นเงยขึ้น แล้วก้มซ้ำอีก ทำช้าๆ ไปเรื่อยๆ (หมายเหตุ ขณะที่ก้มระวังส่วนที่ครอบศีรษะ (Hood) ที่ใช้ในการทดสอบร่วงหลุด โดยอาจใช้มือช่วยจับไว้) ถ้าพื้นที่ทดสอบไม่เอื้ออำนวยต่อการทำท่าก้มเอว ให้คนทำงานทำท่าวิ่งอยู่กับที่ (Jogging in place) แทนก็ได้
- หายใจปกติ (Normal breathing) กลับมาหายใจแบบปกติอีกรอบ เหมือนในข้อ 1.
- การทดสอบทุกท่าให้ทำเป็นเวลานาน 1 นาที หลังจากทำทุกท่าครบแล้วให้ผู้ทำการทดสอบสอบถามคนทำงานถึงความสบายของการสวมใส่ว่ายังปกติหรือไม่ ถ้าความสบายของการสวมใส่อยู่ในระดับที่ยอมรับไม่ได้ ให้เลือกอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจรุ่นอื่นมาทำการทดสอบใหม่ เมื่อเริ่มทำท่าทางต่างๆ ตามขั้นตอนไปแล้ว จะต้องไม่มีการจัดขยับอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจที่สวมใส่อีก หากมีการเผลอจัดขยับจะต้องหยุดการทำท่าทางต่างๆ แล้วถือว่าเป็นโมฆะไป แล้วให้เริ่มทำการทดสอบใหม่
แบบแผนการทดสอบแบบเชิงคุณภาพ (Qualitative fit test protocols)
- บททั่วไป (General)
- นายจ้างจะต้องทำให้มั่นใจว่า บุคคลที่มาทำหน้าที่เป็นผู้ทำการทดสอบความพอดีแบบเชิงคุณภาพ (Qualitative fit test) ให้กับคนทำงานนั้น มีความสามารถในการเตรียมสารทดสอบ, สอบเทียบเครื่องมือทดสอบ, ดำเนินขั้นตอนการทดสอบ, และทราบถึงลักษณะการทดสอบที่ไม่น่าเชื่อถือ รวมถึงจะต้องทำให้มั่นใจว่า เครื่องมืออุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการทดสอบยังใช้การได้ดี
- นายจ้างจะต้องทำให้มั่นใจว่า เครื่องมืออุปกรณ์ที่นำมาใช้ทดสอบความพอดีแบบเชิงคุณภาพนั้นมีความสะอาด และได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี เพื่อให้เครื่องมือสามารถนำมาใช้ในการทดสอบได้ตามขีดความสามารถของเครื่องมืออุปกรณ์ที่ได้ถูกออกแบบเอาไว้
- แบบแผนการทดสอบด้วยสารให้ความหวาน (Saccharin solution aerosol protocol)
- ก่อนที่จะเริ่มการทดสอบ จะต้องอธิบายให้คนทำงานรับทราบขั้นตอนในการคัดกรองและการทดสอบทั้งหมดทุกขั้นตอนเสียก่อน
- การคัดกรองความสามารถขั้นต่ำในการรับรส (Taste threshold screening) ในขั้นตอนการคัดกรองนี้ให้ดำเนินการโดยคนทำงานยังไม่ต้องใส่อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจ จุดประสงค์ของการทำเพื่อประเมินว่าคนทำงานผู้นั้นสามารถรับรู้รสของสารละลาย Saccharin ได้หรือไม่
- ระหว่างการคัดกรองความสามารถขั้นต่ำในการรับรส (Taste threshold screening) และการทดสอบความพอดี (Fit test) คนทำงานจะต้องใส่ถุงคลุมศีรษะ (Test enclosure หรือ Hood) ซึ่งมีลักษณะเป็นถุงคลุมตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงบริเวณไหล่ ถุงคลุมศีรษะนี้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 นิ้ว และสูงประมาณ 14 นิ้ว ด้านหน้าต้องมีลักษณะใส และกว้างพอที่จะให้คนทำงานขยับศีรษะได้อย่างอิสระเมื่อสวมใส่อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจแล้ว ถุงคลุมศีรษะแบบดังที่กล่าวมา มีลักษณะเทียบเท่าได้กับชุดคลุมศีรษะยี่ห้อ 3M ชิ้นส่วน #FT14 กับ #FT15 ที่เอามาประกอบกัน
- ถุงคลุมศีรษะจะต้องมีรูขนาด ¾ นิ้ว (1.9 เซนติเมตร) จำนวน 1 รู อยู่ตรงกับบริเวณใกล้กับจมูกและปากของคนทำงาน เพื่อใช้ในการสอดปลายท่อของที่พ่นละออง (Nebulizer nozzle) เข้าไป
- ให้คนทำงานสวมถุงคลุมศีรษะ ตลอดขั้นตอนการคัดกรอง ให้คนทำงานหายใจเข้าออกผ่านทางปากที่อ้าและแลบลิ้นออกมาเล็กน้อย ให้คนทำงานแจ้งผู้ทำการทดสอบทันทีเมื่อรู้สึกได้ถึงรสหวาน
- ใช้ที่พ่นละออง (Nebulizer) ยี่ห้อ DeVilbiss Model 40 Inhalation Medication Nebulizer หรือที่เทียบเท่า ให้ผู้ทำการทดสอบฉีดพ่น (Spray) ละอองสารละลายเพื่อตรวจสอบการรับรส (Threshold check solution) เข้าไปในถุงคลุมศีรษะ โดยไม่หันปลายท่อของที่พ่นละอองไปทางจมูกและปากของคนทำงานโดยตรง ที่พ่นละอองอันที่ใช้ในการคัดกรองนี้ จะต้องถูกทำสัญลักษณ์ให้แตกต่างอย่างชัดเจนจากที่พ่นละอองอันที่ใช้ในการทดสอบความพอดี
- สารละลายเพื่อตรวจสอบการรับรส (Threshold check solution) สามารถเตรียมได้โดยละลาย Sodium saccharin ปริมาณ 0.83 กรัม ลงในน้ำอุ่น 100 มิลลิลิตร หรืออาจเตรียมโดยใส่สารละลายเพื่อทดสอบความพอดี (Fit test solution) ปริมาณ 1 มิลลิลิตร ลงในน้ำกลั่น 100 มิลลิลิตรก็ได้ (หมายเหตุ ชุดทดสอบความพอดีสำเร็จรูปที่มีจำหน่ายบางยี่ห้อ อาจทำการเตรียมสารละลายเพื่อตรวจสอบการรับรสบรรจุเสร็จในขวดไว้ให้แล้ว)
- ในการทำให้เกิดละออง (Aerosol) ให้ผู้ทำการทดสอบบีบกระเปาะที่พ่นละออง (Nebulizer bulb) อย่างแรงจนกระเปาะแบนสนิท จากนั้นจึงปล่อยจนกระเปาะกลับมาป่องเต็มที่อีกครั้งจึงเริ่มบีบครั้งต่อไป
- ให้ผู้ทำการทดสอบบีบกระเปาะที่พ่นละออง 10 ครั้งต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นให้สอบถามคนทำงานว่ารู้สึกได้ถึงรสหวานหรือไม่ ถ้าคนทำงานแจ้งว่ารู้สึกได้ถึงรสหวานแล้ว ถือว่าการคัดกรองสำเร็จ ให้หยุดบีบกระเปาะที่พ่นละออง แล้วให้ผู้ทำการทดสอบบันทึกระดับความสามารถขั้นต่ำในการรับรส (Taste threshold) ไว้ว่า “10” ไม่ว่าในความเป็นจริงแล้วคนทำงานจะสามารถเริ่มรับรู้รสได้ตั้งแต่การบีบกระเปาะครั้งที่เท่าไรก็ตาม
- ถ้าหลังจากการบีบกระเปาะที่พ่นละออง 10 ครั้งแรก คนทำงานยังไม่สามารถรับรู้ได้ถึงรสหวาน ให้บีบกระเปาะที่พ่นละอองอีก 10 ครั้งต่อเนื่องกัน ร่วมกับสอบถามคนทำงานว่ารับรู้ได้ถึงรสหวานหรือไม่ ถ้าคนทำงานแจ้งว่ารู้สึกได้ถึงรสหวานแล้ว ถือว่าการคัดกรองสำเร็จ ให้หยุดบีบกระเปาะที่พ่นละออง แล้วให้ผู้ทำการทดสอบบันทึกระดับความสามารถขั้นต่ำในการรับรส (Taste threshold) ไว้ว่า “20” ไม่ว่าในความเป็นจริงแล้วคนทำงานจะสามารถเริ่มรับรู้รสได้ตั้งแต่การบีบกระเปาะครั้งที่เท่าไรก็ตาม
- ถ้าหลังจากบีบกระเปาะที่พ่นละออง 10 ครั้งในรอบที่สอง คนทำงานก็ยังไม่สามารถรับรู้ได้ถึงรสหวาน ให้บีบกระเปาะที่พ่นละอองอีก 10 ครั้งต่อเนื่องกัน ร่วมกับสอบถามคนทำงานว่ารับรู้ได้ถึงรสหวานหรือไม่ ถ้าคนทำงานแจ้งว่ารู้สึกได้ถึงรสหวานแล้ว ถือว่าการคัดกรองสำเร็จ ให้หยุดบีบกระเปาะที่พ่นละออง แล้วให้ผู้ทำการทดสอบบันทึกระดับความสามารถขั้นต่ำในการรับรส (Taste threshold) ไว้ว่า “30” ไม่ว่าในความเป็นจริงแล้วคนทำงานจะสามารถเริ่มรับรู้รสได้ตั้งแต่การบีบกระเปาะครั้งที่เท่าไรก็ตาม
- ผู้ทำการทดสอบบันทึกตัวเลขจำนวนครั้งของการบีบกระเปาะ (10, 20, หรือ 30 ครั้งแล้วแต่บุคคล) ที่ใช้ในการหาระดับความสามารถขั้นต่ำในการรับรส (Taste threshold) ของคนทำงานเอาไว้
- ถ้าหากหลังจากบีบกระเปาะที่พ่นละอองเป็นจำนวนรวม 30 ครั้งแล้ว คนทำงานยังไม่สามารถรับรู้ได้ถึงรสหวาน จะถือว่าคนทำงานผู้นั้นไม่สามารถรับรู้รสหวานของสาร Saccharin ได้ คนทำงานผู้นั้นไม่สามารถทำการทดสอบความพอดีโดยวิธีการใช้สาร Saccharin ได้ (หมายเหตุ ให้ใช้การทดสอบความพอดีแบบแผนอื่นแทน)
- ข้อสังเกต หากคนทำงานกินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานมาก่อนที่จะทำการคัดกรอง คนทำงานผู้นั้นอาจไม่สามารถรับรู้ได้ถึงรสหวานในสารละลาย Saccharin ที่เจือจางนี้ได้ (หมายเหตุ การสอบถามคนทำงานว่ากินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานมาก่อนหรือไม่ และถ้ากินหรือดื่มมาอาจให้ดื่มน้ำเปล่าก่อนทำการคัดกรอง อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้)
- เมื่อคนทำงานแจ้งว่าสามารถรับรู้ได้ถึงรสหวานแล้ว ให้ผู้ทำการทดสอบแจ้งคนทำงานให้จดจำความรู้สึกนี้ไว้ เพื่อใช้สำหรับการทดสอบความพอดีต่อไป
- ในการใช้ที่พ่นละอองอย่างถูกต้อง ควรเติมสารละลายลงในที่พ่นละอองเป็นปริมาณครั้งละประมาณ 1 มิลลิลิตร
- จะต้องล้างที่พ่นละอองด้วยน้ำเปล่า สลัดให้แห้ง และเติมสารละลายที่ใช้ทดสอบเข้าไปใหม่อย่างน้อยทุกครึ่งวัน หรืออย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมง (หมายเหตุ ข้อกำหนดนี้เพื่อป้องกันกรณีที่ทำการทดสอบในคนทำงานจำนวนมาก หากใช้ที่พ่นละอองอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน อาจเกิดการอุดตันภายในที่พ่นละออง ทำให้บีบกระเปาะแล้วไม่เกิดละอองได้ จึงมีการกำหนดให้ล้างแล้วเติมสารละลายใหม่อย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมง)
- ขั้นตอนการทดสอบด้วยสารให้ความหวาน (Saccharin solution aerosol fit test procedure)
- คนทำงานจะต้องไม่กินอาหาร, ไม่ดื่มเครื่องดื่ม (ยกเว้นน้ำเปล่า), ไม่สูบบุหรี่, และไม่เคี้ยวหมากฝรั่ง เป็นเวลา 15 นาทีก่อนการทดสอบ
- ในการทดสอบความพอดี ใช้ถุงคลุมศีรษะแบบเดียวกับที่ใช้ในขั้นตอนการคัดกรอง
- ให้คนทำงานสวมใส่อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจอันที่ได้เลือกเอาไว้ แล้วสวมถุงคลุมศีรษะ อุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจจะต้องจัดให้เข้าที่มากที่สุด และถ้าเป็นรุ่นที่มีแผ่นกรองอนุภาค (Particulate filter) จะต้องติดเอาไว้ให้ครบถ้วนด้วย
- ใช้ที่พ่นละออง (Nebulizer) ยี่ห้อ DeVilbiss Model 40 Inhalation Medication Nebulizer หรือที่เทียบเท่า อีกอันหนึ่งในการฉีดพ่น (Spray) สารละลายเพื่อทดสอบความพอดี (Fit test solution) ที่พ่นละอองอันที่ใช้ในการทดสอบความพอดีนี้ จะต้องถูกทำสัญลักษณ์ให้แตกต่างอย่างชัดเจนจากที่พ่นละอองอันที่ใช้ในการคัดกรอง
- สารละลายเพื่อทดสอบความพอดี (Fit test solution) นั้น สามารถเตรียมได้โดยละลาย Sodium saccharin ปริมาณ 83 กรัม ลงในน้ำอุ่น 100 มิลลิลิตร (หมายเหตุ ชุดทดสอบความพอดีสำเร็จรูปที่มีจำหน่ายบางยี่ห้อ อาจทำการเตรียมสารละลายเพื่อทดสอบความพอดีบรรจุเสร็จในขวดไว้ให้แล้ว)
- ในระหว่างการทดสอบความพอดีนั้น ให้คนทำงานหายใจเข้าออกผ่านทางปากที่อ้าและแลบลิ้นออกมาเล็กน้อย เหมือนกับในขั้นตอนการคัดกรอง และให้คนทำงานแจ้งผู้ทำการทดสอบทันทีเมื่อรู้สึกได้ถึงรสหวาน
- สอดปลายท่อของที่พ่นละออง (Nebulizer nozzle) เข้าไปในรูที่อยู่ด้านหน้าของถุงคลุมศีรษะ แล้วบีบกระเปาะที่พ่นละออง (Nebulizer bulb) เพื่อให้ละอองของสารละลายกระจายเข้าสู่ภายใน จำนวนครั้งของการบีบกระเปาะที่พ่นละอองในรอบแรกนี้ ให้บีบเท่ากับตัวเลขจำนวนครั้งของการบีบกระเปาะที่ใช้ในการหาระดับความสามารถขั้นต่ำในการรับรส (Taste threshold) ของคนทำงานที่ได้บันทึกเอาไว้ในขั้นตอนการคัดกรอง (อาจจะ 10, 20, หรือ 30 ครั้งแล้วแต่บุคคล) ถ้าทำถูกต้อง จำนวนการบีบกระเปาะอย่างน้อยที่สุดต้อง 10 ครั้ง
- หลังจากพ่นละอองเข้าไปในถุงคลุมศีรษะแล้ว ให้คนทำงานเริ่มทำท่าทางต่างๆ ที่กำหนดให้ทำ (Test exercises) ไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องจนครบทุกท่า (ดูท่าทางต่างๆ ที่กำหนดให้ทำจากหัวข้อ การจัดเตรียมขั้นพื้นฐาน (General requirements) ข้อที่ 14.
- ทุก 30 วินาที ให้ผู้ทำการทดสอบใช้ที่พ่นละอองฉีดพ่นละอองสารละลายเข้าไปในถุงคลุมศีรษะเพิ่มเติม โดยจำนวนครั้งของการบีบกระเปาะในการพ่นละอองเพิ่มเติมนี้ ให้เป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนที่พ่นในครั้งแรก (คือ 5, 10, หรือ 15 ครั้งแล้วแต่บุคคล)
- ในระหว่างทำการทดสอบไม่ว่าในเวลาใดก็ตาม หากคนทำงานรู้สึกได้ถึงรสหวานของสารละลาย Saccharin ขึ้นมา (หมายเหตุ รสแบบเดียวกับที่รู้สึกได้ในขั้นตอนการคัดกรองที่ให้จดจำไว้) ให้คนทำงานแจ้งผู้ทำการทดสอบทันที ถ้าทำท่าทางต่างๆ ที่กำหนดให้ทำจนครบแล้ว คนทำงานไม่รู้สึกถึงรสหวานของสารละลาย Saccharin เลย แปลว่าการทดสอบนั้น “ผ่าน (Pass)”
- ถ้าคนทำงานรู้สึกได้ถึงรสหวานของสารละลาย Saccharin แปลว่าความพอดีของอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจนั้นไม่เป็นที่น่าพอใจ และถือว่าการทดสอบนั้น “ไม่ผ่าน (Fail)” ให้คนทำงานลองเลือกอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจอันอื่น แล้วนำมาทำการทดสอบความพอดีตามแบบแผนตั้งแต่ต้นใหม่ (คือทำการคัดกรองความสามารถขั้นต่ำในการรับรส ต่อด้วยทำการทดสอบความพอดี)
- เนื่องจากที่พ่นละอองอาจอุดตันได้ในระหว่างการใช้งาน ผู้ทำการทดสอบควรตรวจสอบเป็นระยะว่าที่พ่นละอองนั้นไม่ได้อุดตันในระหว่างทำการทดสอบ ถ้าพบว่ามีการอุดตันของที่พ่นละอองหลังจากทำการทดสอบเสร็จแล้ว จะถือว่าการทดสอบนั้นไม่น่าเชื่อถือและเป็นโมฆะ
- แบบแผนการทดสอบด้วยสารให้ความขม (Bitrex ® solution aerosol qualitative fit test protocol) แบบแผนการทดสอบด้วยสารให้ความขม (Bitrex ® solution aerosol qualitative fit test protocol) นั้น มีการดำเนินการเช่นเดียวกับแบบแผนการทดสอบด้วยสารให้ความหวาน (Saccharin solution aerosol protocol) ซึ่งเป็นแบบแผนที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างอยู่เดิมแล้ว
- สาร Bitrex ® หรือชื่อทางเคมีคือ Denatonium benzoate เป็นสารที่มีรสขมอย่างมาก แต่ไม่มีความเป็นอันตราย ปกติจะนำมาใช้ประโยชน์ในการเติมลงในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านที่เป็นของเหลวเพื่อป้องกันเด็กกินโดยไม่ตั้งใจ การใช้สารนี้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้รับการรับรองจากสมาคมแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (American Medical Association), สภาความปลอดภัยแห่งชาติ (National Safety Council), และสมาคมศูนย์ควบคุมพิษแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (American Association of Poison Control Centers) [5]
- ก่อนที่จะเริ่มการทดสอบ จะต้องอธิบายให้คนทำงานรับทราบขั้นตอนในการคัดกรองความสามารถขั้นต่ำในการรับรส (Taste threshold screening) และการทดสอบความพอดี (Fit test) ทั้งหมดทุกขั้นตอนเสียก่อน
- ขั้นตอนในการคัดกรองความสามารถขั้นต่ำในการรับรส (Taste threshold screening) และการทดสอบความพอดี (Fit test) ให้ทำเหมือนแบบแผนการทดสอบด้วยสารให้ความหวาน (Saccharin solution aerosol protocol) ทุกประการ ยกเว้นจุดที่แตกต่างกันดังนี้
- ในขั้นตอนทั้งหมด เปลี่ยนคำว่า “รสหวาน” เป็น “รสขม” และเปลี่ยนคำว่า “Saccharin” เป็น “Bitrex ®”
- การเตรียมสารละลายเพื่อตรวจสอบการรับรส (Threshold check solution) เตรียมโดยเติม Bitrex ® ปริมาณ 13.5 มิลลิกรัม ลงในน้ำเกลือความเข้มข้น 5 % (5 % Sodium chloride solution in water) ปริมาณ 100 มิลลิลิตร
- การเตรียมสารละลายเพื่อทดสอบความพอดี (Fit test solution) เตรียมโดยเติม Bitrex ® ปริมาณ 337.5 มิลลิกรัม ลงในน้ำเกลือความเข้มข้น 5 % (5 % Sodium chloride solution in water) ปริมาณ 200 มิลลิลิตร
ภาพที่ 3 การคัดกรองความสามารถขั้นต่ำในการรับรส (Taste threshold screening)
ภาพที่ 4 การทดสอบท่าที่ 1 หายใจปกติ (Normal breathing)
ภาพที่ 5 การทดสอบท่าที่ 2 หายใจลึกๆ (Deep breathing)
ภาพที่ 6 การทดสอบท่าที่ 3 หันหน้าไปทางซ้าย- ขวา (Turning head side-to-side)
ภาพที่ 7 การทดสอบท่าที่ 4 เงยหน้าขึ้นลง (Moving head up and down)
ภาพที่ 8 การทดสอบท่าที่ 5 พูด (Talking)
ภาพที่ 9 การทดสอบท่าที่ 6 ก้มเอว (Bending over)
ภาพที่ 10 การทดสอบท่าที่ 7 หายใจปกติ (Normal breathing)
เอกสารอ้างอิง
- กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ. 2556. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 130 ตอนที่ 113 ก. (ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2556).
- Occupational Safety and Health Administration (OSHA). 29 CFR 1910.134 – Respiratory protection [Internet]. 2017 [cited 2017 Dec 30]. Available from: https://www.osha.gov/pls/oshaweb/owadisp.show_document?p_table=STANDARDS&p_id=12716.
- Zhuang Z, Bergman M, Brochu E, Palmiero A, Niezgoda G, He X, et. al. Temporal changes in filtering-facepiece respirator fit. J Occup Environ Hyg 2016;13(4):265-74.
- National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH). Infographic – Why are annual fit tests required? [Internet]. 2017 [cited 2017 Dec 30]. Available from: https://www.cdc.gov/niosh/npptl/pdfs/Fit-test-10.508_FNL.pdf.
- Occupational Safety and Health Administration (OSHA). 29 CFR 1910.134 Appendix A – Fit testing procedures (mandatory) [Internet]. 2017 [cited 2017 Dec 30]. Available from: https://www.osha.gov/pls/oshaweb/owadisp.show_document?p_table=standards&p_id=9780.
- Health and Safety Executive (HSE). Respiratory protective equipment at work, 4th ed. [Internet]. 2013 [cited 2017 Dec 30]. Available from: http://www.hse.gov.uk/pUbns/priced/hsg53.pdf.
- Occupational Safety and Health Administration (OSHA). 29 CFR 1910.134 Appendix B-1 – User seal check procedures (mandatory) [Internet]. 2017 [cited 2017 Dec 31]. Available from: https://www.osha.gov/pls/oshaweb/owadisp.show_document?p_table=STANDARDS&p_id=9781.